
พาณิชย์ เข้มตรวจนอมินีธุรกิจท่องเที่ยว-อสังหาฯ
นายสินิตย์ เลิศไกร รมช.พาณิชย์ เข้มตรวจนอมินีธุรกิจท่องเที่ยว-อสังหาฯ-บริการ พบเข้าข่าย 148 ราย ส่ง DSI สอบเชิงลึก
โดยจากผลการตรวจสอบ พบนิติบุคคลที่อาจกระทำผิดในลักษณะนอมินี ทั้งสิ้น 148 ราย อยู่ในจังหวัดภูเก็ตมากที่สุด 140 ราย เชียงใหม่ 4 ราย สุราษฎร์ธานี 3 ราย และกรุงเทพฯ 1 ราย
สำหรับผลการตรวจสอบพบ 2 กรณี คือ กรณีบุคคลมีชื่อเป็นผู้ถือครองหุ้นในหลายบริษัท เมื่อประเมินความสามารถในการถือหุ้น หรือการลงทุนของผู้ถือหุ้นดังกล่าวแล้ว เป็นที่น่าสงสัยว่าอาจมีการถือหุ้นแทนคนต่างด้าว ซึ่งกรมฯ ได้นำส่งข้อมูลให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ดำเนินการสืบสวนสอบสวนในเชิงลึก ขณะนี้ดีเอสไออยู่ระหว่างดำเนินการสืบสวนการกระทำความผิดกลุ่มบุคคลดังกล่าว
นอกจากนี้ ยังพบกรณีมีพฤติกรรมอันน่าสงสัยว่า มีคนไทยให้ความช่วยเหลือ สนับสนุน ร่วมประกอบธุรกิจกับคนต่างด้าว หรือถือหุ้นแทนคนต่างด้าว ซึ่งอยู่ระหว่างรวบรวมและสรุปผลก่อนส่งดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
รมช.พาณิชย์ กล่าวว่า ได้สั่งการให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เพิ่มความเข้มงวดในการป้องปรามธุรกิจที่มีลักษณะนอมินี ทั้งก่อนและหลังการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคล โดยก่อนจดทะเบียนจัดตั้งเป็นนิติบุคคล กำหนดให้ส่งเอกสารที่ธนาคารออกให้เพื่อรับรอง หรือแสดงฐานะการเงินของผู้เป็นหุ้นส่วน หรือผู้ถือหุ้นคนไทยที่ลงทุน หรือถือหุ้นในนิติบุคคลร่วมกับคนต่างด้าว
ทั้งนี้ เพื่อแสดงความน่าเชื่อถือว่า คนไทยที่ร่วมลงทุนมีฐานะทางการเงินที่สามารถลงทุนเองได้ และภายหลังจดทะเบียน กรมจะจัดทำข้อมูลนิติบุคคลกลุ่มเสี่ยง และกำหนดเป็นแผนงานโครงการประจำปี เพื่อตรวจสอบเชิงลึกต่อไป ซึ่งบางกรณีอาจร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตร เช่น ดีเอสไอ ตำรวจท่องเที่ยว กรมการท่องเที่ยว ฯลฯ ตรวจสอบ
สำหรับปี 66 กรมฯ ได้กำกับดูแลและตรวจสอบธุรกิจที่มีลักษณะนอมินีอย่างต่อเนื่อง และจะตรวจสอบธุรกิจที่ปัจจุบันเป็นข่าวพบกลุ่มชาวต่างชาติเข้ามาประกอบธุรกิจผิดกฎหมาย โดยอาศัยนอมินีคนไทยเพิ่มเติมด้วย
นายสินิตย์ กล่าวว่า ขอเตือนคนไทยที่ให้ความช่วยเหลือ สนับสนุน หรือถือหุ้นแทนคนต่างด้าว เพื่อให้คนต่างด้าวสามารถประกอบธุรกิจโดยหลีกเลี่ยงหรือฝ่าฝืนกฎหมาย คนไทยที่ถือหุ้นแทนคนต่างด้าวในลักษณะนอมินี อย่าให้ความช่วยเหลือคนต่างด้าวในลักษณะนี้ เพราะจะมีความผิดตาม พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว รวมทั้งกรรมการบริษัทจะมีความผิดด้วย โดยมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับตั้งแต่ 100,000 ถึง 1 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และยังมีโทษปรับรายวันอีกวันละ 10,000-50,000 บาท จนกว่าจะเลิกฝ่าฝืน แนะนำข่าวเพิ่มเติม>>> ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน ‘ซบเซา’ ห่วง Fed ขึ้นดอกเบี้ย-เงินทุนไหลออก