
ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน ‘ซบเซา’ ห่วง Fed ขึ้นดอกเบี้ย-เงินทุนไหลออก
ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน ‘ซบเซา’ ห่วง Fed ขึ้นดอกเบี้ย-เงินทุนไหลออก
ผลสำรวจความเชื่อมั่นนักลงทุนเดือน ก.ย. ร่วงลงมาอยู่ในเกณฑ์ ‘ซบเซา’ ปัจจัยฉุดความเชื่อมั่นคือการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ Fed เงินทุนไหลออก และความขัดแย้งระหว่างประเทศ
สภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ซึ่งเป็นผลสำรวจในเดือน ก.ย. 2565 โดยพบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index: ICI) ในอีก 3 เดือนข้างหน้า (ต.ค. – ธ.ค. 2565) อยู่ที่ระดับ 67.83 ปรับตัวลดลง 41.8% จากเดือนก่อนหน้ามาอยู่ในเกณฑ์ ‘ซบเซา’
สำหรับปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด คือ นโยบายการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) รองลงมาคือการไหลออกของเงินทุน และสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังมองว่า การฟื้นต้วของภาคท่องเที่ยวจะเป็นปัจจัยหนุนความเชื่อมั่นมากที่สุด รองลงมาคือการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ และการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)
ผลสำรวจโดยสรุป
– ดัชนีความเชื่อมั่นรวมทุกกลุ่มนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า (ธ.ค. 2565) อยู่ในเกณฑ์ ‘ซบเซา’ (ช่วงค่าดัชนี 40-79) ลดลง 41.8% จากเดือนก่อนหน้า มาอยู่ที่ระดับ 67.83
– ความเชื่อมั่นกลุ่มนักลงทุนบุคคล และกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศ ปรับลงมาอยู่ในเกณฑ์ ‘ซบเซา’ ในขณะที่ความเชื่อมั่นกลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ และกลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศ อยู่ในระดับ ‘ทรงตัว’
– หมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดท่องเที่ยวและสันทนาการ (TOURISM)
– หมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ (PETRO)
– ปัจจัยหนุนที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ การฟื้นต้วของภาคท่องเที่ยว
– ปัจจัยฉุดที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ นโยบายการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ Fed
ผลสำรวจ ณ เดือน ก.ย. 2565 รายกลุ่มนักลงทุน พบว่า ความเชื่อมั่นนักลงทุนแทบทุกกลุ่มปรับลดลง โดยนักลงทุนบุคคลปรับลดลง 39.3% อยู่ที่ระดับ 77.33 กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ปรับลดลง 28.6% อยู่ที่ระดับ 100.00
กลุ่มนักลงทุนต่างชาติปรับลดลง 60.0% อยู่ที่ระดับ 40.00 ในขณะที่กลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศปรับเพิ่ม 6.2% อยู่ที่ระดับ 113.33
ในช่วงเดือน ก.ย. SET Index ปรับตัวเพิ่มขึ้นในสัปดาห์แรกในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นทั่วโลก และทยอยปรับตัวลดลงหลังเผชิญแรงกดดันหลายประเด็น อาทิ ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อสหรัฐเพิ่มขึ้นเกินกว่าคาด ซึ่งส่งผลต่อความกังวลต่อการเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ Fed
แนวโน้มการถดถอยของเศรษฐกิจโลกในปี 2566 ตามที่ธนาคารโลกได้ออกมาประกาศ สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครนที่ทวีความตึงเครียดขึ้น หลังรัสเซียสั่งระดมทหารกองหนุนเพิ่มขึ้นเพื่อเตรียมทำสงครามกับยูเครน
นอกจากนี้ การปรับลดน้ำหนักหุ้นไทยของดัชนีฟุตซี่ (FTSE) ซึ่งมีผลในวันที่ 16 ก.ย. 2565 ยังเป็นอีกปัจจัยที่เพิ่มความกดดันต่อนักลงทุน
ตลอดทั้งเดือน ก.ย. SET index เคลื่อนไหวในกรอบแคบระหว่าง 1,589.51-1,665.74 จุด และ SET Index ณ สิ้นเดือนปิดที่ 1,589.51 จุด ปรับตัวลดลง 3% จากเดือนก่อนหน้า
ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติกลับมาขายสุทธิในเดือน ก.ย.กว่า 24,279 ล้านบาท โดยตลอดทั้งปี 2565 นักลงทุนต่างชาติยังคงซื้อสุทธิเป็นมูลค่า 146,465 ล้านบาท
สำหรับปัจจัยต่างประเทศที่ต้องติดตาม ได้แก่ แนวโน้มการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นของ Fed รวมถึงการขึ้นดอกเบี้ยในระยะถัดไปเพื่อต่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อสหรัฐที่ยังคงสูง
อีกทั้งนโยบายการเงินของธนาคารกลางในหลายประเทศที่ออกมาเพื่อบริหารจัดการความผันผวนในตลาดอัตราแลกเปลี่ยน แนวโน้มการถดถอยของเศรษฐกิจโลก และสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครนที่ตึงเครียดขึ้น หลังรัสเซียรับรองพื้นที่ 4 เขตในยูเครนให้เป็นดินแดนของรัสเซีย
ในส่วนของปัจจัยในประเทศที่น่าติดตาม ได้แก่ การเข้าสู่ยุคดอกเบี้ยขาขึ้นของประเทศไทย หลังจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งที่ 2 มาอยู่ในระดับ 1%
แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่ได้แรงหนุุนจากภาคการท่องเที่ยวซึ่งขยายตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศที่คาดว่าจะมีการเลือกตั้งในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2566